สรุปหนังสือ 3 เล่ม


องค์ประกอบของนาฏศิลป์
    
จังหวะ เป็นส่วนย่อยของบทเพลงที่ดำเนินไปเป็นระยะและสม่ำเสมอ การฝึกหัดนาฏศิลป์ไทย จำเป็นต้องใช้จังหวะเป็นพื้นฐานในการฝึกหัด   เพราะจังหวะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติและมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน  หากผู้เรียนมีทักษะทางการฟังจังหวะแล้วก็สามารถรำได้สวยงาม  แต่ถ้าผู้เรียนไม่เข้าใจจังหวะ ก็จะทำให้รำไม่ถูกจังหวะหรือเรียกว่า "บอดจังหวะ"  ทำให้การรำก็จะไม่สวยงามและถูกต้อง
     การฟ้อนรำหรือลีลาท่ารำ
การฟ้อนรำหรือลีลาท่ารำเป็นท่าทางของการเยื้องกรายฟ้อนรำที่สวยงาม โดยมีมนุษย์เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำเหล่านั้นได้ถูกต้องตามแบบแผน รวมทั้งบทบาทและลักษณะของตัวละคร ประเภทของการแสดง    และการสื่อความหมายที่ชัดเจน
      เกิดจากการมนุษย์คิดประดิษฐ์หาเครื่องบันเทิงใจ 
เมื่อหยุดพักจากภารกิจประจำวันเพื่อเป็นการผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย โดยเริ่มจากการเล่าเรื่องต่างๆ สู่กันฟัง เช่น นิทาน นิยาย ต่อมาได้มีวิวัฒนาการโดยนำเอาดนตรีมาประกอบการเล่าเรื่องเหล่านั้น  ภายหลังมีการประดิษฐ์ท่าทางต่างๆ และมีการพัฒนารูปแบบไปเป็นการร่ายรำจนถึงขั้นการแสดงเป็นเรื่องราว
      เกิดจากการเลียนแบบธรรมชาติ
โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวอิริยาบถตามธรรมชาติของมนุษย์  เช่น  แขน ขา หน้าตา  หรือการแสดงความรู้สึก อารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์ที่แสดงออกมาในกิริยาอาการต่างๆ  เช่น  ความโกรธ ความรัก โศกเศร้า  เสียใจ  มนุษย์ได้ใช้ลักษณะท่าทางต่างๆ เหล่านี้ในการสื่อความหมาย   และนำมาดัดแปลงให้นุ่มนวลน่าดู ชัดเจนไปกว่าธรรมชาติ จนเกิดเป็นศิลปะการฟ้อนรำขึ้นและใช้เป็นการแสดง  โดยมีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ  จนกระทั่งเกิดเป็นท่าทางการร่ายรำที่งดงามที่เป็นพื้นฐานของการฟ้อนรำ



พระฤาษี(พ่อแก่)

        ปู่ฤาษีโคตบุตร เป็นฤาษี ที่บำเพ็ญตบะอยู่ในบริเวณป่าหิมพานต์ ท่านเป็นฤาษี ที่มีรูปร่างหน้าตางดงามมาก เป็นที่เคารพรัก ของเหล่ามนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย  เมื่อใครได้มาพบเห็นก็จะเกิดความรู้สึก รัก ชอบและหลงใหล ในรูปร่างและหน้าตาของฤาษีตนนี้ทันที ไม่เว้นแม้แต่ เหล่าเทพนารีบริวารแห่งองค์ พระศิวะมหาเทพ ที่ลงมาเที่ยวเล่นกัน ในเขตของป่าหิมพานต์ ที่พอได้มาพบกับปู่ฤาษีโคตบุตรเข้า ก็เกิดมีความหลงใหล ในรูปร่าหน้าตาของปู่ฤาษีตนนี้ทันที  เทพนารีทั้งหลายเลยไม่ยอมกลับไปเขาไกรลาส ยินยอมอยู่ปรนนิบัติ รับใช้ปูฤาษีโคตบุตร นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ร้อนถึงพระศิวะ มหาเทพเกิดความสงสัยว่าเทพนารี บริวารของพระองค์หายไปไหนกันหมด เมื่อพระองค์ ทรงเล็งญาณดูจึงรู้ว่า เหล่าเทพนารี มาอาศัยอยู่กินกับฤาษีโคตบุตรนั่นเอง   พระศิวะจึงเสด็จลงมาจากเขาไกรลาส  ตรงมาหาฤาษีโคตบุตร   ด้วยความขุ่นเคืองพระทัย ว่าฤาษีโคตบุตร ลบหลู่ และไม่เคารพยำเกรงในพระองค์ พระองค์ทรงใช้ตรีศูร ตัดเศียรของฤาษีโคตบุตร ขาดออกจากกันในทันที โดยมิได้สอบถามเรื่องราว ว่าใครผิด ใครถูก   ด้วยฤาษีโคตบุตร มีฤทธิ์เดชพอตัว จึงยังไม่เสียชีวิตในทันที ฤาษี จึงทูลเล่าความจริงให้พระศิวะทรงทราบ ตามความจริงทั้งหมด เมื่อพระศิวะ ทรงทราบความจริงดันนั้นแล้ว ก็ทรงรู้สึก เสียใจ ต่อการกระทำของตนเอง ยิ่งนัก ที่ด่วนใจร้อนไม่สอบถาม ไตร่สวนเรื่อราวให้ดีเสียก่อน   ดังนั้นพระศิวะท่านจึงได้ใช้ฤทธิ์แห่งพระองค์ที่มี ทรงต่อเศียรของฤาษีโคตบุตร เข้ากับ ร่างเดิม ฤาษีโคตบุตร จึงกลับฟื้นมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง และเพื่อเป็นการลบล้างความผิดพลาดของพระองค์ที่ทำไปโดยไม่ยั้งคิด พระองค์จึงมีพระศิวะโองการออกไปว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป มนุษย์คนใด ที่ได้นำรูปเศียรของฤาษีโคตบุตร ไปเคารพ สัการะบูชา มนุษย์ผู้นั้น จะมีใบหน้าที่งดงาม มีเสน่ห์    เป็นที่รักของผู้ที่ได้พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือเทวดาทั้งหลาย  ก็จะมีความงามเฉกเช่นเดียวกันกับฤาษีโคตบุตร      นับตั้งแต่นั้นมา เศียรของฤาษีโคตบุตร จึงได้ถูกนำมากราบไหว้สักการะบูชา เป็นที่เคารพ ของเหล่าศิสปิน นักแสดงทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น นักร้อง นักแสดง โขน ลิเก ลำตัด เพลงอีแซว ฯลฯ โดยเศียรฤาษีโคตบุตร จะถูกเรียกขนานนามว่าเศียรพ่อแก่ มาจวบจนกระทั่งทุกวันนี้                                  
   บางตำนานเล่าว่า พ่อแก่ หรือพระฤาษี ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนในแวดวงศิลปะแขนงต่างๆ ล้วนนิยมเคารพนับถือบูชา เนื่องด้วยเกิดจากความเชื่อที่ว่า ในอดีต พ่อแก่หรือพระฤาษีได้เป็นผู้นำเอาศิลปะ แขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการร้องรำทำเพลง หรือแม้แต่การร่ายรำ นาฏศิลป์ต่างๆ มาถ่ายทอดให้แก่มนุษย์ได้รับรู้ความงาม ความอ่อนช้อยของศิลปะ รู้จักความอ่อนโยน รู้จักรัก รู้จักเมตตา และการให้อภัย ก่อให้เกิดความสุขแก่มวลมนุษยชาติ ดังนั้นศิลปิน หรือผู้เกี่ยวข้องในศิลปะทุกแขนง ในประเทศไทยจึงได้เคารพบูชาพ่อแก่ หรือครูฤาษีว่าเปรียบดังบรมครูแห่งศาสตร์ของการแสดง เมื่อได้บูชาแล้วจะก่อให้เกิดศิริมงคล มีความเจริญก้าวหน้าในด้านการงาน มีเสน่ห์ เมตตามหานิยมในตัว  พ่อแก่, พระฤาษี หรือบางครั้งก็เรียกกันว่า ครูฤาษี ถือเป็นบรมครูแห่งศาสตร์ของการแสดง ตามตำนานกล่าวไว้ว่า พระฤาษีมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 108 องค์ ปางเสมอเถรถือว่าเป็นปางที่มีฤทธิ์มากที่สุดในบรรดาทั้ง 108 องค์ คำว่า ฤาษี มาจากคำว่า ฤาษิ แปลว่า ผู้เห็นด้วยความรู้พิเศษอันเกิดจากฌาน ซึ่งสามารถแลเห็นอดีตปัจจุบัน และอนาคตได้ บางครั้งก็เรียกพ่อแก่หรือฤาษีว่า "ตฺริกาลชฺญ" แปลว่า ผู้รู้กาลทั้งสาม นอกจากนี้พระฤาษียังถือว่าเป็นผู้ประทานสรรพวิชาความรู้ ทั้งมวลแก่มนุษยชาติ เนื่องด้วยตำราทางโหราศาสตร์ และตำราทางเทววิทยา กล่าวไว้สอดคล้องกันว่า พระพฤหัสบดีถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นอาจารย์แห่งสรรพวิชาความรู้ทั้งมวล เนื่องด้วยพระอิศวรมหาเทพ ร่ายพระเวทให้ฤาษี 19 ตน ป่นเป็นธุลี แล้วห่อด้วยผ้าสีแก้วไพฑูรย์ ประพรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นเทวราช มีสีกายดั่งแก้วไพฑูรย์ มีวิมานบุษราคัม ทรงกวางทองเป็นพาหนะ รักษาเขา พระสุเมรุด้านทิศตะวันตก มีร่างกายแสดงด้วยสัญลักษณ์ของฤาษีจึงมีปัญญาบริสุทธิ์ เฉลียวฉลาด พูดจาไพเราะเสนาะหู เป็นอาจารย์แห่งสรรพวิชาความรู้ทั้งมวลรวมถึงเป็นอาจารย์ของเหล่า เทพเทวดา จึงให้ถือว่าวันพฤหัสบดีอันแสดงด้วยสัญลักษณ์ของฤาษีเป็นวันครูจึงมีการไหว้ครูกัน ในวันนี้ ซึ่งมีสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน



การแสดงพื้นบ้านของภาคใต้(โนรา)

        โนรา หรือบางคนเรียกว่า มโนห์รา เป็นศิละปะการแสดงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในภาคใต้ ลักษณะการเดินเรื่อง และรูปแบบของการแสดงคล้ายละครชาตรีที่นิยมกันแพร่หลายในภาคกลางเดิมการแสดงโนราจะใช้เนื้อเรื่องจากวรรณคดีเรื่องพระสุธน-มโนห์รา โดยตัดตอนแต่ละตอนตั้งแต่ต้นจนจบมาแสดง เช่น ตอนกินรีทั้งเจ็ดเล่นน้ำในสระ ตอนพรานบุนจับนางมโนห์ราไปถวายพระสุธน ฯลฯ ปกติการแสดงโนราจะเริ่มจากนายโรงหรือโนราใหญ่ซึ่งเป็นตัวเอกหรือหัวหน้าคณมารำ “จับบทสิบสอง” คือ การรำเรื่องย่อต่างๆ สิบสองเรื่อง เช่น พระสุธน-มโนห์รา พระรถ-เมรี ลักษณวงค์ เป็นต้น แต่หากผู้ว่าจ้างไปแสดงขอให้จับตอนใดให้จบเป็นเรื่องยาวๆ ก็แสดงตามนั้น
       ผู้แสดง เป็นชายล้วน คณะหนึ่งๆ จะมีประมาณ 15-20 คน แล้วแต่ขนาดของคณะอาจจะมีถึง 25 คน ก็ได้ประกอบด้วยหัวหน้าคณะหรือนายโรงหรือมโนห์รา 1 คน หมอไสยศาสตร์ 1 คน ผู้รำอย่างน้อย 6 คนอย่างมาก 10 คน นายพราน(พรานบุณ) 1 คน ทาสี(คนใช้ ตัวประกอบ ตัวตลก) 1 คน นักดนตรี และลูกคู่จำนวน 5-6 คน ตาเสือ(ผู้ช่วยขนเครื่องและช่วยดูแลทั่วไป) 1-2 คน เครื่องดนตรี วงโนรา ประกอบด้วยกลองโนรา หรือทับโนรา โหม่ง ฉิ่ง ฉาบ
       การการแสดง โนราแต่เดิมจะแสดงบนพื้นดิน โดยใช้เสื่อปู ตัวโรงเป็นสี่เหลี่ยม มีหลังคามุงด้วยจาก มีเสากลาง 1 ต้น มีแคร่ไม้ไผ่สูงราว 50 เซนติเมตร สำหรับตัวแสดงนั่ง เรียกว่า “นัก” ด้านซ้ายและของนักเป็นที่สำหรับดนตรีและลูกคู่นั่ง
      การแต่งกาย แบบดั้งเดิมจะแต่งกายเลียบแบบเครื่องทรงของกษัตริย์ ประกอบด้วย เทริด(ชฎา) สังวาล ปีกนกแอ่น หางหงส์ ทับทรวง สนับเพลา ชายไหว ผ้าห้อยข้าง กำไลต้นแขน กำไลข้อมือ และสวมเล็บยาวไม่สวมเสื้อ เทริดจะสวมเฉพาะตัวนายโรงหรือโนราใหญ่เท่านั้น ส่วนนายพรานจะสวมหน้ากากเปิดคาง หน้ากากสีแดงสำหรับใช้”ออกพราน” ส่วนหน้ากากพรานสีขาว จะใช้สำหรับนายพรานทาสี ตามความเชื่อและพิธีกรรมในการแสดง ถือเป็นหน้าศักดิ์สิทธิ์ แต่เดิมการเดินทางไปแสดงที่ต่างๆ จะต้องเดินเท้า จึงเรียกว่า “โนราเดินโรง” ก่อนจะออกเดินทางนายโรงจะช่วยกัยขนเครื่องที่จะใช้แสดงมาวางไว้กลางบ้าน และหมอไสยศาสตร์จะทำพิธีพร้อมกับบรรเลงดนตรี เพื่อขอความเป็นสิริมงคล ระหว่างเดินทางไปจะตึกลองเป็นระยะๆ บอกให้ชาวบ้านรู้ว่าจะไปแสดงที่เป็นการประชาสัมพันธ์ไปในตัว และหากเดินทางผ่านสถานที่หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะบรรเลงดนตรีเป็นการแสดงคารวะและอาจมีการรำถวายมือด้วย เมื่อถึงสถานที่จะแสดงจะนำอุปกรณ์ต่างๆ กองไว้กลางโรง เมื่อจะถึงเวลาแสดง หมอไสยศาสตร์ก็ทำพิธีเบิกโรงด้วยคาถา หมากพลู เทียน และเงิน ขอขมาเจ้าที่เจ้าทางขอเชิญเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาปกปักรักษา อย่าให้มีอันตรายใดๆ จากนั้นลูกคู่ก็จะลงโรง(โหมโรง)สักพักหนึ่งเมื่อคนดูหนาตาแล้ว นายโรงก็จะขับบทบูชาครู และผู้แสดงออกรำ โดยเริ่มจากผู้แสดงที่ยังไม่ค่อยเก่งไปจนถึงคนเก่งๆ และสุดท้ายก่อนนายโรงจะออก ตัวนายพรานหรือตัวทาสีหรือตัวตลก จะออกมาร้องตลกๆ จากนั้นนายโรงหรือโนราใหญ่จะออกรำ ซึ่งทุกคนจะคอยดูโนราใหญ่ เพราะถือเป็นผู้ที่รำสวยที่สุดเมื่อนายโรงรำจบ ก็อาจจะเลิกการแสดงหรืออาจแสดงต่อด้วยเรื่องพระสุธน มโนห์รา พระรถเมรี ฯลฯ หรือที่เรียกว่า “จับบทสิงสอง” จนดึก เมื่อโนราใหญ่หรือนายโรงถอดเทริดออก ก็เป็นอันจบการแสดงความยาวของการแสดงชุดนี้ ใช้เวลาแสดงประมาณ 2-3 ชั่วโมง




บทสรุป

   นาฏศิลป์ไทย เป็นศิลปะการแสดงประกอบดนตรีของไทย เช่น ฟ้อน รำ ระบำ โขน แต่ละท้องถิ่นจะมีชื่อเรียกและมีลีลาท่าการแสดงที่แตกต่างกันไป สาเหตุหลักมาจากภูมิประเทศ ภูมิอากาศของแต่ละท้องถิ่น ความเชื่อ ศาสนา ภาษา นิสัยใจคอของผู้คน ชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละภาค
   การแสดงพื้นบ้าน ภาคใต้ โนราเป็นนาฏศิลป์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด  ในบรรดาศิลปะการแสดงของชาวใต้ ต่อมาภาคเหนือ จะนิยม ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนเงี้ยว ฟ้อนสาวไหม ท่ารำที่อ่อนช้อย นุ่มนวล เพลงมีความไพเราะ อ่อนหวาน ต่อมาภาคอีสาน เซิ้งกระติบข้าว เซิ้งโปงลาง เซิ้งกระหยัง เซิ้งสวิง เซิ้งดึงครกดึงสาก เซิ้งเป็นการแสดงที่ค่อนข้างเร็ว กระฉับกระเฉง สนุกสนาน สุดท้ายภาคกลาง รำวง รำเหย่ย เต้นกำรำเคียว เพลงเกี่ยวข้าว รำชาวนา  เพลงเรือ  เถิดเทิง  เพลงฉ่อย  รำต้นวรเชษฐ์  เพลงพวงมาลัย เพลงอีแซว  เพลงปรบไก่  รำแม่ศรี ซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรมศิลปะการแสดง จึงมีความสอดคล้องกับวิถีชีวิต และเพื่อความบันเทิง สนุกสนาน เป็นการพักผ่อนหย่อนใจจากการทำงาน
   ส่วนองค์ประกอบที่ทำให้นาฏศิลป์ไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มีความสวยงามโดดเด่น และบ่งบอกถึงความมีอารยะธรรมทางด้านศิลปะ มาแต่อดีตกาล   คือ  ลีลาท่ารำ  การขับร้องเพลงไทย  ดนตรีไทย  และการแต่งกาย
   พระฤาษี(พ่อแก่) ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนในแวดวงศิลปะแขนงต่างๆ ล้วนนิยมเคารพนับถือบูชา เนื่องด้วยเกิดจากความเชื่อที่ว่า ในอดีต พ่อแก่หรือพระฤาษีได้เป็นผู้นำเอาศิลปะ แขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการร้องรำทำเพลง หรือแม้แต่การร่ายรำ นาฏศิลป์ต่างๆ มาถ่ายทอดให้แก่มนุษย์ได้รับรู้ความงาม ความอ่อนช้อยของศิลปะ รู้จักความอ่อนโยน รู้จักรัก รู้จักเมตตา และการให้อภัย ก่อให้เกิดความสุขแก่มวลมนุษยชาติ ดังนั้นศิลปิน หรือผู้เกี่ยวข้องในศิลปะทุกแขนง ในประเทศไทยจึงได้เคารพบูชาพ่อแก่ หรือครูฤาษีว่าเปรียบดังบรมครูแห่งศาสตร์ของการแสดง เมื่อได้บูชาแล้วจะก่อให้เกิดศิริมงคล มีความเจริญก้าวหน้าในด้านการงาน มีเสน่ห์ เมตตามหานิยมในตัว





Creative Commons License
nichanun by นาฏศิลป์ไทย is licensed under a Creative Commons Attribution-NoDerivatives 4.0 International License.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น